ในร้านเสริมสวย
อะไรบนโลกนี้ที่ไม่มีชั้นหนึ่งชั้นสอง ไม่มีเยี่ยมไม่มีแย่ ในแต่ละชั้นยังซอยแยกย่อยออกไปได้อีกแยะ จัดเข้าอยู่ในหมวดหมู่เดียวกันเพราะใกล้เคียงกันและมีสิ่งกำหนดที่เป็นมาตรฐานวางไว้
โรงแรมมีชั้นหนึ่งชั้นสอง
ต้องมีห้องหับและความสะดวกในการบริการเท่านั้นเท่านี้จึงจะเป็นชั้นหนึ่ง
ถ้าเป็นชั้นสองต้องมีแค่ไหน ถ้าไม่เข้าเรื่องกับชั้นไหนเลยก็ตกอยู่ประเภทไม่มีอันอันดับ
ร้านเสริมสวยบ้านเรามีมากเหมือนดอกเห็ดไม่ว่าจะไปที่ไหนต้องพบร้านเสริมสวยในตรอกซอกซอยเล็กนิดเดียวมีร้านเสริมสวยหลายเจ้า พอเข้าอันดับบ้าง ไม่มีอันดับเลยบ้าง
ไม่มีผู้ใดเลยจัดอันดับร้านเสริมสวยเหมือนอย่างจัดอันดับโรงแรมได้แต่ใช้ตาดูแล้วรู้เอง
ร้านอันดับเยี่ยม เป็นตึกรามโอ่โถงใหญ่โต ห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำเครื่องใช้ไม้สอยสะอาด ไม่ตะขิดตะขวงที่จะนั่งจะนอน
มักโฆษณาว่าผู้ให้บริการเล่าเรียนมาจากสำนักนั้นสำนักนี้ในต่างประเทศ คนมีค่านิยมเช่นนั้น
ร้านอันดับรองๆลงมา สถานที่ย่อมขนาดหลายระดับ ตึกแถวสองสามคูหาบ้าง คูหาเดียวบ้าง
บางทีก็ไม่มีคูหาเลย
อาศัยใต้สะพานใหญ่เป็นที่ซื้อขายบริกรเสริมสวย ใช้ฉากหรือม่านกั้น เพดานคือพื้นสะพาน
อันดับของร้านบอกราคาฝีมืออยู่ด้วยในตัว
ฝีมือจริงๆจะต่างกันแค่ไหน
ดูยาก ที่เห็นได้แน่ๆคือราคาซึ่งต่างกันไกลลิบ
เรื่องเสริมสวย ผู้หญิงไม่เกี่ยงงอนเรื่องราคามากนักขอให้สวยเถอะเท่าไรเป็นสู้ เจอช่างถูกใจต่อให้ไกลแสนไกล ดั้นด้นไปหา
ไม่ได้คิดค่าเสียเวลาและค่าเดินทางบวกเข้าไปกับค่าจ้างเสริมสวย น้อยนักที่จะนึกว่าเวลาที่เสียไปมีค่าเกินราคา
เวลาที่ใช้ไปในการเสริมสวยนั้นไม่คิดอยู่แล้ว
เพราะสำหรับผู้หญิงส่วนใหญ่ การเข้าไปใช้บริการในร้านเสริมสวยเป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่งอย่างน้อยก็ได้ความรู้สึกว่า ได้มีคนมารับใช้เพราะมีเงินจะใช้เขา เกิดมาจะหาโอกาสที่ใครมาประคับประคองเท้า ขัดสีขี้ไคลเสริมสวยให้เท้าถ้าไม่เข้าไปใช้บริการร้านเสริมสวย
เท้าอยู่ไกลจากหน้าก็จริง
แต่เมื่อเท้าได้รับความทะนุถนอมปรนเปรอเล็บเจียนแต่งทาสีไว้งดงาม ก็ทำให้หน้าชื่นเหมือนกัน สวยที่เท้าไปส่งออกที่หน้า
เสริมสวยเท้าแล้วจะต้องไปสวมรองเท้ายางเดินคลุกฝุ่นคลุกโคลก็ช่างเป็นไร มีสตางค์จะเสริมสวยเสียอย่าง บางทีก็สู้อุตส่าห์อดกินเพื่อจะได้เสริมสวย เงินที่ไปจ้างเขาทาเล็บเท้า ซื้ออาหารมีประโยชน์ให้ร่างกายได้หนึ่งมื้อ
อันดับที่ต่างกันระหว่างร้านเสริมสวยอันดับต่างๆได้แก่ ความสะอาด
หรืออนามัยในการเสริมสวย
ความจริงไม่น่าจะต่างกัน ร้านเล็กร้านใหญ่ควรมีมาตรฐานความสะอาดเดียวกัน
ร้านเสริมสวยขนาด ‘สวยในซอย’ แห่งหนึ่ง แห่งไหนก็ได้
เห็นภาพไกล้เคียงกันทุกคน
ร้านอย่างนี้เปิดประตูรับลูกค้าอย่างกันเอง ใครจะไปใครจะมา จะเสริมสวยหรือไม่เสริมสวยก็เข้ามาได้
ร้านเสริมสวยบ้านเรามีลักษณะพิเศษกว่าร้านของชาติใดๆ
เป็นสโมสรอยู่ด้วยในตัว
บางทีก็มีการซื้อการขายของเล็กๆอย่างขนมนมเนยขึ้นไปจนกระทั่งของใหญ่อย่างที่ดิน
ที่ว่าเป็นสโมสรนั้น
ไม่มีกิจกรรมเหมือนอย่างสโมสรทั้งหลายเป็นนินทาสโมสรเสียมากกว่า
ลูกค้าหิวระหว่างเสริมสวยก็ไม่เป็นไร ร้านขายข้าวแกง ก๋วยเตี๋ยว ข้างร้านก็มี เสริมสวยไปกินไปก็ได้ กิจกรรมไม่ขัดกัน เคยเห็นกิจกรรมทำเล็บพร้อมๆกับป้อนข้าวลูกก็ยังได้
สาวน้อยผู้หนึ่ง ถลาเข้มาในร้าน เจ้าหล่อนนุ่งกางเกงขาสั้น
จู๋สวมเสื้อโคร่งคร่างตามสมัยค่านิยม
ผู้มารับบริการจะแต่งตัวให้เกียรติตัวเองและร้านเสริมสวยแค่ไหน เป็นไปตามสภาพของร้านเสริมสวยนั้น
ลูกค้าอยู่ไกล้แทบจะว่าเป็นเพื่อนบ้าน
แต่งตัวอยู่กับบ้านอย่างไรก็เข้าร้านเสริมสวยอย่างนั้น
เว้นไว้แต่จะเสริมสวยแล้วจะตรงไปออกงานสังคมเลยทีเดียว ไม่ต้องเปลี่ยนเสื้อผ้าใหม่
ไม่มีใครตั้งข้อสังเกตว่าใครจะแต่งตัวไม่เหมาะจะเข้าร้านเสริมสวย แต่งอะไรก็แต่งไป คนอื่นไม่เกี่ยว
สิ่งแรกี่สาวผู้นั้นทำคือส่องกระจก
ใครเลยจะไม่ส่องกระจกในร้านเสริมสวย
กระจกบานใหญ่ออกอย่างนั้น
ตามบ้านไม่มีกระจกบานใหญ่ให้ส่องอย่างเต็มที่ เข้าร้านเสริมสวยแล้วต้องใช้ความสะดวกของร้านเสริมสวย
พอส่องกระจกแล้วจะต้องทำอะไรสักอย่างแก้เขิน จะโดยรู้ตัวหรือไม่รู้ตัวก็ตาม ธรรมชาติของผู้หญิงเป็นอย่างนั้น อย่างน้อยก็ใช้มือแตะผม แตะหน้า
หันดูตัวเองด้านนั้นด้านนี้ ชื่นชมกับเงาของตัวเองในกระจก
สำหรับสาวน้อยผู้ที่กล่าวถึง พิศดูตัวเอง
แตะทรงผมบ๊อบ ยกชายผมขึ้นลง
แล้วก็หยิบหวีที่อยู่ในกระบะของร้านขึ้นมาหวีผม หวีไปมาอยู่หลายตลบ ซึ่งไม่ได้ทำให้ผมสวยขึ้นหรือเลวลง
เพราะเป็นผมบ๊อบไม่ได้ดัด
หวีเสร็จแล้วก็สับหวีลงไปบนแปรงในกระบะดังเดิม
ทั้งหมดนี้ทำด้วยกิริยาว่องไว
บอกอยู่ว่าไม่เกรงใจใครโดยเฉพาะเจ้าของร้าน เป็นการถือวิสาสะ
ซึ่งเจ้าของร้านไม่รู้สึกตะขิดตะขวงเพราะเคยกัน แต่สำหรับลูกค้าคนอื่นที่อยู่ในร้าน กิริยาของสาวผู้นั้นบอกอยู่ว่าขาดเสน่ห์ ทำให้คนอ่านตนไปในทางที่ตนไม่พึงประสงค์
ว่าในด้านอนามัย หวีเป็นของส่วนตัว ใช้ร่วมกันไม่ได้
เพราะอาจจะเป็นสื่อนำเซื้อราจากผู้หนึ่งไปยังอีกผู้หนึ่ง คนอาจมีเชื้อราที่หนังศรีษะ
หรือเป็นโรคอะไรอื่นก็ได้
ในร้านเสริมสวยที่ค่าบริการย่อมเยา ไม่อาจใช้หวีใหม่ใส่ซองมาบริการลูกค้าแต่ละคนได้ บางทีก็ไม่จำเป็นต้องเป็นหวีใหม่ยังไม่เคยใช้แต่เป็นหวีที่ได้จากการทำความสะอาดไว้แล้วเป็นอย่างดี
คนส่วนมากก่อนจะหวีผมในร้านเสริมสวยต้องสระผมสะอาดมาแล้ว จะใช้หวีร่วมกัน พอค่อยยังชั่วทุกคนมีผมสะอาดพอๆกัน
แต่ประเภทเดินเข้าร้านมาจากไหนไม่รู้
อากาศร้อนๆเหงื่อไหลไคลย้อย
เป็นของแน่ที่ผมจะสกปกเหมือนผิวด้วย
มาใช้หวีที่ทางร้านเตรียมไว้สำหรับลูกค้าหวีผมของตน ทำให้ลูกค้าอื่นไม่ชอบใจ เพราะคาดว่า
ผมของเขาสะอาดแล้วไม่ควรที่จะให้หวีมาทำให้สกปกเพราะคนมักง่าย
จบการหวีผมแล้ว สาวผู้นั้นก็ตรงไปนั่งที่เก้าอี้ เก้าอี้หน้ากระจกในร้านเสริมสวยหมุนได้รอบตัว ทำให้ต่ำให้สูงเพื่อที่จะทำให้ช่างทำผมจะได้ทำงานได้ถนนัด เพราะคนนั่งอยู่บนเก้าอี้สูงต่ำไม่เท่ากัน
เก้าอี้อย่างนี้เด็กชอบนั่งเพราะหมุนสนุก สาวผู้นั้นไม่ใช่เด็กโตพอที่จะรู้ว่าเก้าอี้ในร้านเสริมสวยไม่ใช่ม้าหมุน
ไม่แต่นั่งให้เก้าอี้หมุนเท่านั้นเจ้าหล่อนยังเอาเท้าขึ้นมาบนเก้าอี้ นั่งชันเขาเสียด้วย
เป็นผู้หญิง นุ่งกางเกงขาสั้นจู๋ นั่งชันเขาอยู่บนเก้าอี้ที่หมุนไปหมุนมาเรียกร้องสายตาคน ใครบ้างจะไม่มอง เจ้าตัวก็คงรู้ว่าเมื่อทำอย่างนั้นคนจะมอง เป็นกิริยาที่เรียกร้องสายตาคนวิธีหนึ่ง
การจะเรียกร้องความสนใจให้คนมองทำได้หลายวิธี ทำดีๆก็น่ามองอยู่เหมือนกัน
แต่ถ้าเมื่อใดตั้งอกตั้งใจทำให้คนอื่นมองมากไป กลายเป็นไม่น่ามอง เช่น
ส่งเสียงกรี๊ดกร๊าด วี้ดว้าย คนหันมองก็จริง แต่มักมองอย่างตำหนิมากกว่าจะสนใจใคร่ติดตาม
นั่งชันเข่าหมุนเก้าอี้ไปได้สักครู่ เจ้าหล่อนก็กระโดดลงจากเก้าอี้ที่ใช้คำว่ากระโดด เพราะผลีผลามอย่างเร็ว คงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ตรงไปที่โทรศัพท์ ที่ทางร้านวางไว้นบเคาน์เตอร์ เจ้าของโทรศัพท์คลุมผ้าไว้มิดชิด เพราะคงระอาที่ใครต่อใครชอบมาใช้โทรศัพท์ ไม่ใช่มีเรื่องคอขาดบาดตายที่ต้องพึ่งโทรศัพท์คนอื่น เป็นเพียงอยากใช้โทรศัพท์เพราะเห็นของเขามีให้ใช้เท่านั้น
การพูดโทรศัพท์ในร้านเสริมสวย ชึ่งมีคนอยู่หลายคน ไม่น่าพูดเรื่องไม่เป็นเรื่องเป็นทำนองอวดคนฟัง แม้ไม่ตั้งใจฟังก็อดได้ยินไม่ได้ ยิ่งเป็นคำพูดประเภทมึงวาพาโวย คือวิสาสะกับเพื่อนที่อยู่อีกด้านหนึ่ง คนอยู่ในร้านเสริมสวยไม่เข้าใจว่า ทำไมเขาจะต้องมารับฟังถ้อยคำที่ไม่น่าฟัง
ใช้โทรศัพท์เสร็จล้าก็แล้วกัน เจ้าหล่อนไม่ได้คลุมผ้าไว้ดังเดิมใช้อะไรของใครไปแล้วควรระวังให้อยู่ในสภาพตามที่เจ้าของรักษาไว้ เช่น
เข้าห้องน้ำของคนอื่น
ก่อนออกจากห้องเหลียวสำรวจดูเสียก่อนก็ดีว่าไปเพิ่มความสกปกไม่เรียบร้อยให้แก่ห้องน้ำของเขาหรือเปล่า
ทั้งหมดเป็นเรื่องความเกรงใจ
ซึ่งนอกจากเป็นสมบัติของผู้ดีแล้วยังเป็นเสน่ห์ประจำตัวคนอีกด้วย
คนไม่รู้จักเกรงใจใคร ไม่มีผู้ใดอยากคบ
เสร็จเรื่องพูดโทรศัพท์แล้ว สาวผู้นั้นก็ชวนเพื่อนที่กำลังนั่งกางมือกางเท้าให้ช่างทำเล็บอยู่คุยกันต่อไป คนมีสองประเภทสุดทาง
พวกหนึ่งไปที่ไหน ไม่รู้จะพูดอะไรกับใครนั่งเป็นเบื้อ รู้สึกว่าตัวเองเปิ่น เป็นคนแปลกหน้า แปลกสถานที่
เข้ากับใครไม่ได้
อีกพวกหนึ่ง ช่างพูดเสียจริง อย่างที่เปรียบกันว่า ปากไม่มีซิปรูดพูดเรื่อยไปไม่มีสติยั้งคิดว่าควรพูดเรื่องอะไรกับใคร หรือไม่ควรพูด
หรือพูดบ้างฟังบ้างให้ถูกจังหวะ
ดูกาลเทศะและบุคคลเสียก่อน
พวกประเภทพูดมาก
บางทีก็มีปมด้อย ใช้การพูดลบปมด้อย เรื่องที่พูดไม่ใช่อื่นไกลโอ่อวดยกตนข่มท่านเป็นส่วนใหญ่
ใครได้ยินเรื่องที่สาวผู้นั้นพูดแล้ว
จะรู้สึกว่า
วันหนึ่งๆเจ้าหล่อนไม่ต้องทำการงานอะไรเลย
อยากให้ใครๆรู้ว่าตนเป็นคนประเภทนั่งกินนอนกิน ชึ่งเป็นค่านิยมที่ไม่ถูกต้อง ส่งเสริมให้คนขี้เกียจ คนไม่ทำงานควรน่าอาย ดูราวกับว่า
การเที่ยวเตร่แต่งตัวและช้อปปิ้งเป็นสาระอย่างเดียวของชีวิต เมื่อวานไปดูหนังเรื่องนี้ เมื่อเช้าไปช้อปปิ้งที่ห้างสรรพสินค้าได้เสื้อมาหนึ่งตัว รองเท้ามาหนึ่งคู่ ราคาเท่านั้นเท่านี้
ยี่ห้อดังๆทั้งนั้นเป็นการพูดที่แสดงว่าเจ้าของคำพูดไม่มีอะไรอยู่ในหัวเลยและเป็นคนผิวเผินล่องลอยไร้สาระ
เรื่องอวดตัวเองไปหมดแล้ว คราวนี้เป็นเรื่องของผู้อื่น ขึ้นชื่อว่าเป็นเรื่องของคนอื่น เสียมีมากกว่าดี ธรรมชาติของตนยึดตัวเองเป็นหลักมองจากแง่ของตัวเองเท่านั้น
นำเรื่องของคนอื่นมาเปรียบเทียบกับเรื่องของตน แล้วสรุปได้ว่าของตนดีกว่า
ถ้าไม่ดีกว่าจริงก็ต้องหาข้ออ้างมาหักล้างให้ได้ว่า ทำไมของเราจึงเป็นอย่างนั้น ลงท้ายว่าเราไม่แพ้ใครก็แล้วกัน
เรื่อง ‘เอ็นจอย’
ปากเรื่องในร้านเสริมสวยมักเป็นเรื่อชู้สาว สามีของคนนั้นไปมีเมียน้อย แอบเช่าบ้านให้อยู่ เมียหลวงโง่เง่าไม่รู้ไม่เห็นน่าสงสาร คนเล่าปากบอกว่าน่าสงสาร
แต่ใจไม่ตรงกับปากเพราะถ้าสงสารเขาจริงจะไม่นำเรื่องของเขามาพูด อะไรที่พูดแล้วไม่ให้ดีแก่ใครไม่น่าพูด ถ้าอยากเป็นคนมีเสน่ห์ในการพูด
มีคนนั่งอยู่ด้วยกันหลายคน มีเรื่องกระซิบกระซาบกันสองคนบางทีแถมบอกว่า อย่าให้พูดตอนนี้เลยเธอ
เอาไว้จะเล่าให้ฟังวันหลังคนอื่นไม่เกี่ยวข้อง ไม่อยากรู้เรื่องด้วยก็จริง แต่ผู้ที่พูดอย่างนั้น แสดงว่าไม่มีมารยาท คนมีเสน่ห์ต้องมีมารยาท
ร้านเสริมสวยบ้านเราทำหน้าที่หลายอย่างนอกเหนือไปจากการให้บริการเสริมสวย
เป็นศูนย์กลางข่าวสารหรือซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้าก็ได้
บางทีเจ้าของร้านเสริมสวยขายเอง รับฝากหรือซื้อสินค้ามาไว้ขายบางที่ผู้มาใช้บริการซื้อขายกันเอง บ้างเป็นผู้ขายของมืออาชีพ บ้างมีอาชีพหลักอยู่แล้ว มาขายของเฉพาะเรื่องเป็นอาชีพรอง เช่น ขายเครื่องทองหยองสายสร้อย เข็มกลัด
แหวน ใส่กล่องติดตัวมา ตรงไหนมีผู้หญิงนั่งชุมนุมกันอยู่ งัดออกมาเสนอขายเป็นได้เรื่อง เพราะไม่มีผู้หญิงคนไหนไม่ชอบของแต่งตัว ไม่ซื้อก็ชอบดู และถ้ามีเงินอยู่ในมือ ยินดีถูกชักชวนให้ซื้อได้ง่าย
บางรายขายของเป็นการหารายได้อย่างไม่ตั้งใจลงทุนอะไรนักไปเที่ยวเมืองนอกเมืองนามาซื้อข้าวของติดมือ เพื่อจะออกตัวเป็นค่าเรือบินได้ ของจำพวกเครื่องสำอาง ปลอกหมอน
ผ้าปูที่นอน เสื้อนอนได้ชื่อว่าซื้อมาจากนอกโดยตรง คนสนใจใคร่ซื้อ พวกเราขี้โอ่
ไม่ใช่แต่ของที่มีไว้เสนอขาย
คนก็มีเหมือนกัน
มักติดต่อหาลูกจ้างทำงานบ้านกันได้จากร้านเสริมสวย มีทั้งผู้หาลูกจ้างและผู้จ้าง ผู้หาลูกจ้างมาบอกไว้ที่ร้านเสริมสวย ใครต้องการมาติดต่อได้ คนเปลี่ยนหน้าเข้ามาในร้านเสริมสวยอยู่ทั้งวัน
ๆ กิจการอะไรก็หมุนเวียนเปลี่ยนมือกันดี เรื่องเล่นไพ่ เล่นหวย
ก็นัดกันง่ายในร้านเสริมสวย
ร้านเสริมสวยของเรามีบรรยากาศน่าทึ่ง
ผู้หญิงไปเสริมสวยก็เพื่อสร้างเสน่ห์
ไม่ใคร่ได้คิดว่า
ความสวยอย่างเดียวไม่ทำให้ผู้หญิงมีเสน่ห์ได้ถ้าขาดเสียซึ่งท่าทีกิริยาวาจาอันเป็นเครื่องบ่งบอกว่าได้รับการอบรมมาดี
ร้านเสริมสวยไม่ใช่สถานที่ที่ได้รับการยกเว้นไม่ต้องระวังตัวในการแสดงกิริยามารยาท
ผู้หญิงมีเสน่ห์จะมีสติอยู่ทุกเมื่อในทุกสถานที่ มารยาทเป็นมารยาทอย่างอ่อนของสังคม มีไว้เพื่อประโยชน์ของตนเอง
ใจผู้ขายจะคิดอย่างไรไม่ทราบ เขาอาจไม่ได้คิดอะไรเลยเกี่ยวกับสุดา แต่สีหน้าแววตาซึ่งแสดงออกทางกาย
ทำให้สุดาอ่านภาษากานเป็นว่าผู้ขายกำลังไม่ให้เกียตริตน เห็นตนเป็นตัวอะไรไม่รู้
หน้าที่ของผู้ขายควรจะต้อนรับผู้ซื้อ
แต่นี้ผู้ขายทำท่าราวกับว่าผู้ซื้อไม่มีตัวตนอยู่บนโลก
ผู้ขายเสียว่าที่ลูกค้าไปหนึ่งรายเพราะมีสีหน้าเฉยเมย หรือใช้สายตามองลูกค้าอย่างสำรวจ
หน้าตาท่าทางของผู้ขายทำให้สินค้าขายได้ไม่ได้ไม่แพ้การพูด
ไม่ทำอะไรเสียเลยก็มีผลเสีย เท่ากับทำอะไรมากไปอย่างคิดไม่ถึง
ผู้ขายเองมิใช้จะรู้ตัวว่าสีหน้าท่าทางอย่างนั้น
ไล่ลูกค้า หลายคนมีสีหน้าหมกมุ่นคิ้วขมวดอยู่เป็นนิจ ทั้งๆที่ไม่ได้ตั้งใจจะให้เป็นเช่นนั้น
พูดกันมานานว่าคนไทยขายของไม่ใคร่เก่ง
ไม่มีนิสัยเอาใจบริการลูกค้า
ไม่อดทนเมื่อลูกค้าจู้จี้
และอดไม่ได้ที่จะนึกว่า
ความอ่อนน้อมถ่อมตัวตามมารยาทของผู้ขายนั้นเป็นการแสดงว่าตนด้อยกว่าผู้ซื้อเลยต้องวางท่าไว้บ้าง ใครไม่ชอบใจก็อย่าซื้อ สถานที่โอ่งโถง สินค้าราคาแพง ผู้ขายแต่งการหรู เล่นเอาผู้ซื้อขยาดได้เหมือนกัน ของอะไรที่ผู้ขายทำท่าไม่ง้อคนซื้อ
ทำให้ผู้ซื้อรู้สึกว่ามีค่าขนนาดที่ซื้อแล้วอวดผู้อื่นได้ว่า ฉันก็มีปัญญาซื้อของอย่างนี้จากร้านนี้มาใช้ ได้หน้าได้ตามของ
ผู้ซื้อวิจารณ์ผ็ขายได้ ผู้ขายวิจารณ์ผู้ซื้อได้อย่างเดียวกัน ทุกอย่างย่อมมองได้หลายแง่มุม
ตามความเป็นจริงทุกคนเป็นทั้งผู้ซื้อและผู้ขายตามกรรมวาระต่างๆกัน
เป็นคนขายสินค้าเสื้อผ้า
แต่เป็นคนซื้อสินค้าอาหาร
เมื่ออยู่ในบทบาทใดย่อมเล่นบทบาทนั้นให้ดี
คนขายอยากขายของให้ได้ราคาสูงที่สุด มีกำมากที่สุด
คนซื้ออยากซื้อของราคาต่ำที่สุด
แต่มีคุณภาพดีที่สุด ต่างคนต่างรักษาประโยชน์ของตน จึงมีคำว่า
ราคายุติธรรม
คือให้ทั้งสองฝ่ายได้ประโยชน์เท่าๆกันคนขายมีกำไรพอควรแก่ทุน คนซื้อได้ของที่มีคุณภาพพอเหมาะแก่ราคาถ้าตกลงกันได้อย่างนี้
ไม่เกิดเรื่อง คนซื้อคนขายปรองดองกัน เพราะรู้อยู่ว่าต้องพึ่งพาอาศัยกัน
มองในด้านผู้ขาย ผู้ซื้อเอาใจยากไม่ใช่เล่น เอาใจมากไปก็บอกรำคาญ ทำเฉยเสียไม่เอาใจก็หาว่าผู้ขายไม่อยากขาย ถูกตำหนิทั้งขึ้นทั้งล่อง
พอเห็นลูกค้าเดินเข้ามาผู้ขายเข้าไปโค้งคำนับเชิญชวนให้ชมสินค้าติดหน้าตามหลัง
ในความรู้สึกผู้ขายนั้นเป็นการแสดงมารยาทอันดี ตามบทบาทของผู้ขาย แต่ผู้ซื้อไม่ได้รู้สึกอย่างนั้นทุกคนไป รำคาญใจที่มีผ็ขายมาติดตาม ไม่ไว้ใจตนกลัวจะแอบยิบสินค้าไปหรือไร มองกันคนละแง่
การเอาใจคน พูดง่ายทำยาก
เพราะใจของแต่ละคนไม่เหมือนกันมีอารมณ์มาทำให้ใจกวัดแกว่งอยู่เสมอ เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย จะเอาใจใครได้ถูกต้อง ต้องอ่านใจของเขาให้ออก
ผู้ขายไม่ใช่เทวดามาจากไหน จะให้ตรัสรู้อ่านใจผู้ซื้อออกไปหมด ทุกคนสุดวิสัยผู้ขาย ที่พอทำได้ คือเดาจากเล่นบุคลิกภาพของคน
ขายเสื้อแบบเดียวกันให้ลูกค้าแต่ละคน
ถ้าอ่านผู้ซื้อออก
ผู้ขายจะยกแง่มุมที่ทำให้สินค้าขายได้มาพูดให้เหมาะเฉพาะรายไป
ลูกค้ารายนี้เป็นผู้ใหญ่พ้นวัยกระตุ้งกระติ้งแล้ว และมีลักษณะท่าทีเอาการเอางาน ไม่ใช่ตนชนิดที่จะชอบฟังใครพูดเล่นเหลาะแหละอย่าไปเซ้าซี้คับให้เขาซื้อเองจะดีกว่า ปล่อยให้เขาพิศดูเสื้อตามความพอใจ
และถ้าผู้ขายฉลาดและรู้เรื่องสิ้นค้าของตน
จะดูออกว่าผู้ซื้อผู้นี้รู้เรื่องเสื้อผ้าดีทีเดียว
เขาดูในตำแหน่งที่ควรดู
เพราะฉะนั้นเขาไม่ต้องการคำแนะนำประเภทเชิญชวนโฆษณาขายของ เพียงแต่ตอบคำถามของเขาให้ได้เท่านั้นพอ เช่น เขาอยากจะรู้ว่า
เสื้อแบบเดียวกันนี้มีขนาดใหญ่หรือเล็กกว่าตัวที่จัดวางอยู่บนหุ่นบ้างหรือไม่
ถ้าคนขายขี้เกียจเดินไปหยิบตัวใหม่
ตอบไปว่า ตัวนี้เหมาะแก่ขนาดของคุณแล้ว
เป็นอันขายไม่ได้
เพราะถึงแม้ว่าตัวผู้ซื้อจะมีขนาดพอเหมาะกับเสื้อจริง ผู้ซื้อก็ยังไม่พอใจ เขาเรียกรร้องจะหาขนาดอื่นมาเทียบดูก่อน เพระเขารู้เรื่องขนาดเสื้อผ้าดี จนไม่วางใจว่าเลขขนาดมีความหมายจริงจัง
ลูกค้าประเภทนี้เพียงต้องการความสะดวกในการเลือกซื้อ ไม่หวังจะได้ความรู้และคำแนะนำจากผู้ขาย
ลูกค้าอีกรายหนึ่ง วัยเดียวกับลูกค้ารายแรก แต่ดูจากการแต่งการไม่พิถีพิถันเท่าใด ดูอารมณ์ดีพอที่จะฟังผู้ขายพูดไหว จะยกส่วนดีตรงไหนของเสื้อมาพูดดี ดูหน้าตาผู้ซื้อแล้ว เห็นว่าควรยกเรื่องทนทาน ตะเข็บเย็บแน่น ฝีเข็มกำกลังเหมาะแก่ผ้า
เสื้อตัวนี้จะอยู่ได้นานคุ้มค่าของเงินที่ซื้อ ลูกค้าถูกใจ
ฟังแล้วไม่เห็นว่าคนขายพูดจาเพ้อเจ้อไม่เข้าหู
ลูกค้ารายที่สาม อยู่ในวัยวุ่นวายเรื่องแต่งตัว ท่าทางโฉบเฉี่ยว สมัยใหม่ไม่ใช่เล่น
คนขายดูออกว่าไม่น่าซื้อเสื้อตรงความคงทนเพราะเจ้าหล่อนจะไม่ใส่เสื้อนานจนเสื้อขาดเป็นแน่
สิ่งที่ลูกค้าอย่างนี้มองหาคือความทันสมัย
หรือ แปลกใหม่ ผู้ขายต้องยกส่วนดีเรื่องความทันสมัยขึ้นมาพูด
แฟชั่นสมัยนี้พูดง่าย อะไรๆ ที่แหวกแนวพิลึกๆ
เป็นความทันสมัยได้ทั้งนั้น
เสื้อที่เย็บตะเข็บกับข้างในเป็นข้างนอกยังเป็นสมัยนิยม ผ้าที่เป็นชิ้นอยู่ดีๆตัดให้แหวกวิ่นเสียบ้างกลายเป็นเสื้อแฟชั่น
ลูกค้ารายที่สี่ เป็นผู้บริโภคที่ไม่เอาไหนเลย หวังพึ่งคำแนะนำจากผู้ขายเต็มที่ ไม่รู้จักใจและความต้องการของตัวเอง และไม่รู้จักสินค้าที่ตนจะซื้อ ลังเล ตัดสินใจด้วยตนเองไม่เป็น
ได้ผู้ขายรู้เรื่องสินค้าที่ตนขายเป็นอย่างดี และมีศีลธรรมประจำใจที่จะไม่เอาเปรียบลูกค้าก็เป็นโชคของผู้ซื้อ
ถ้าไปปะผู้ขายที่เห็นแก่ได้จ้องจะขายสินค้าของตนอย่างเดียว
ผู้บริโภคจะเสียเปรียบหรือเสียหายอย่างไรไม่รับรู้ด้วย นับว่าเป็นกรรมของผู้ซื้อ
ทั้งผู้ซื้อและผู้ขายต้องการมารยาทที่พึงปฏิบัติต่อกัน มีความเห็นอกเห็นใจเป็นพื้นฐาน ความสุภาพและความสุจริตใจ ไม่เอารัดเอาเปรียบ
เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวให้การซื้อขายเป็นไปอย่างยุติธรรม
ผู้ซื้อและผู้ขายต่างเป็นบุคคล อยู่ภายใต้มนุษยสัมพันธิ์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
เนื้อหาดีมากคะ
ตอบลบสวยๆ
ตอบลบเนื้อหาสาระดีมากค่ะ
ตอบลบเนื้อหาดีค่ะ
ตอบลบเนื้อหา สุดยอดดดดดด
ตอบลบน่าสนใจ
ตอบลบ